Back

VIEW POST



เซอร์จิมเทียบ "อาร์เตต้าช่วงเริ่มที่อาร์เซน่อล กับอาโมริม" ได้หรือเปล่า!?


TELEMMGLPICT000443795412_17600093474220_

ดูบอลสดฟรี

Sam Dean (Daily Telegraph)

เจ้าของร่วมของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ ได้ออกมาปกป้อง รูเบน อาโมริม โดยยกตัวอย่างถึงช่วงเริ่มต้นอันยากลำบากของ มิเกล อาร์เตต้า ที่อาร์เซน่อล

ในการให้สัมภาษณ์กับพอดแคสต์ The Business ของ The Times แรตคลิฟฟ์กล่าวถึงช่วงแรกของอาร์เตต้าที่อาร์เซน่อลเพื่ออธิบายว่าอาโมริมจำเป็นต้องได้รับเวลาในการทำงานที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด “ลองดูอาร์เตต้าที่อาร์เซน่อลสิ” แรตคลิฟฟ์กล่าว “เขามีช่วงเวลาที่ย่ำแย่มากในสองปีแรก”

มันเป็นการเปรียบเทียบที่น่าสนใจ และน่าเศร้าสำหรับยูไนเต็ด เพราะสามารถถูกวิจารณ์โต้แย้งได้ไม่ยาก แม้แรตคลิฟฟ์จะพูดถูกในแง่ที่ว่าอาร์เซน่อลต้องใช้เวลาภายใต้การคุมทีมของอาร์เตต้าเพื่อกลับมาเป็นทีมลุ้นแชมป์อีกครั้ง แต่แนวทางของผู้จัดการทีมทั้งสองคนนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แทนที่อาโมริมจะเดินตามรอยแบบแผนของอาร์เตต้า เขากลับทำในสิ่งที่ตรงข้ามอย่างแท้จริง

ความเป็นจริงของ “อาร์เตต้าผู้ยืดหยุ่น” กับ “อาโมริมผู้ยึดมั่นในระบบ”
เมื่ออาร์เตต้าได้รับการแต่งตั้งในเดือนธันวาคมปี 2019 หลายฝ่ายคาดหวังว่าเขาจะนำสไตล์การเล่นที่เปิดเกมรุกและเน้นการครองบอลมาใช้ที่เอมิเรตส์ สเตเดียม ทันที ท้ายที่สุดแล้ว เขาเพิ่งใช้เวลาสามปีเป็นผู้ช่วยของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ นั่นเอง

อาร์เตต้ารับรู้ได้อย่างรวดเร็วว่า หากเขายืนยันจะใช้ระบบการเล่นแบบที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ต้น มันจะยิ่งเปิดเผยจุดอ่อนของนักเตะในทีมและทำให้สถานการณ์แย่ลงกว่าเดิม ในหนึ่งในการประชุมครั้งแรกกับลูกทีมใหม่ของเขา อาร์เตต้าได้ พลิกเก้าอี้ทุกตัวคว่ำลง แล้วบอกกับนักเตะว่า “ความวุ่นวายที่เห็นอยู่นี่แหละ คือพวกเราบนสนามในตอนนี้”

ดังนั้น เขาจึงเลือกที่จะเริ่มต้นจาก “แนวรับ” สร้างความแข็งแกร่งและความเป็นระบบระเบียบให้ทีมก่อน ความสามารถในการปรับตัวและความเป็นจริงของเขาทำให้อาร์เซน่อลกลายเป็นทีมที่เล่นเกมรับมากกว่าที่ใครคาดคิด แต่ผลลัพธ์ก็คือ ความสำเร็จในศึกเอฟเอคัพ

อาร์เซน่อลคว้าแชมป์รายการนั้นด้วยการใช้ระบบกองหลังสามคน (ซึ่งบางครั้งก็กลายเป็นแนวรับห้าคนเต็มตัว) และตั้งรับลึก โดยในเกมกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และเชลซี ทีมมีอัตราการครองบอลเพียง 29% และ 40% ตามลำดับ

ไม่กี่เดือนต่อมา อาร์เตต้ากล่าวว่า “เราต้องการพัฒนาไปสู่ระบบ 4-3-3 แต่เพื่อทำแบบนั้น คุณต้องมีนักเตะที่เหมาะสมในทุกตำแหน่ง ตอนนี้ใน 5 หรือ 6 ตำแหน่ง เรายังไม่มีสิ่งนั้น”

เขายังเสริมอีกว่า “ผมไม่อยากเร่งกระบวนการพัฒนา แล้วพานักเตะไปทำในสิ่งที่พวกเขายังไม่พร้อม เพราะมันจะไม่มีประโยชน์เลย”

สิ่งนี้แตกต่างอย่างชัดเจนกับแนวทางของอาโมริมที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด ซึ่งยืนยันตั้งแต่วันแรกว่าเขาจะ ไม่ประนีประนอมกับระบบ 3-4-2-1 ของตัวเอง “ไม่มีทางเลือกที่สอง ไม่มีแผนที่สอง” เขากล่าวในวันรับตำแหน่ง

พูดอีกอย่างคือ อาร์เตต้าปรับแท็กติกให้เข้ากับนักเตะ ในขณะที่ อาโมริมพยายาม และจนถึงตอนนี้ล้มเหลวเป็นส่วนใหญ่ ที่จะปรับนักเตะให้เข้ากับแท็กติกของเขา
 

ผลงานในช่วงต้นที่แตกต่างกัน
คำกล่าวของแรตคลิฟฟ์ที่ว่า “อาร์เตต้ามีช่วงเวลาที่ย่ำแย่ในสองปีแรก” นั้น ไม่เป็นความจริงทั้งหมด อย่างน้อยก็เมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่อาโมริมทำได้จนถึงตอนนี้ ใช่ อาร์เซน่อลมีปัญหาในบางช่วงของปีแรกภายใต้อาร์เตต้า แต่ไม่เคยเลวร้ายเท่าที่อาโมริมประสบกับยูไนเต็ด

ความสำเร็จในเอฟเอคัพ (และต่อด้วยชัยชนะในคอมมูนิตี้ ชีลด์ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา) หมายความว่าอาร์เตต้า คว้าแชมป์แรกได้ภายในเวลาเพียง 8 เดือนหลังรับตำแหน่ง
ในช่วงเวลามืดมนของสโมสรระหว่างการระบาดของโควิด ความสำเร็จที่เวมบลีย์ได้นำมาซึ่งความสุขและความหวังใหม่

ในพรีเมียร์ลีก อาร์เซน่อลจบอันดับที่ 8 ในสองฤดูกาลแรกของอาร์เตต้า แม้จะน่าผิดหวัง แต่ก็ยังห่างไกลจากความหายนะอย่างที่ยูไนเต็ดจบ อันดับ 15 ภายใต้อาโมริมเมื่อฤดูกาลก่อน จนถึงตอนนี้ อาโมริมคุมทีมยูไนเต็ดไปแล้ว 50 นัด และเมื่อเทียบกับ 50 นัดแรกของอาร์เตต้าที่อาร์เซน่อล ผลลัพธ์นั้นชัดเจนมาก

อาโมริมชนะ 19 นัด จาก 50 อาร์เตต้าชนะ 27 นัด ทีมของอาโมริมเสียไป 76 ประตู ขณะที่ทีมของอาร์เตต้าเสียเพียง 48 ประตูในช่วงเดียวกัน นอกจากนี้ ในปีแรกของอาร์เตต้า เขายังมีชัยชนะเหนือทีม “บิ๊กซิกซ์” ถึง 5 นัด ในขณะที่อาโมริมมีเพียง 2 นัดเท่านั้น

G20tkZNXkAAk_Sn?format=jpg&name=large

 

การดูแลดาวรุ่งจากอะคาเดมี

หนึ่งในปัจจัยสำคัญของการฟื้นคืนชีพของอาร์เซน่อลภายใต้อาร์เตต้าคือ ความเชื่อมั่นในนักเตะอังกฤษดาวรุ่ง โดยเฉพาะผู้เล่นจากอะคาเดมีของสโมสรmการแจ้งเกิดของ บูคาโย่ ซาก้า และ เอมิล สมิธ โรว์ คือจุดเริ่มต้นของโปรเจกต์อาร์เตต้า และแทบจะเป็นสิ่งที่ช่วยรักษาตำแหน่งของเขาไว้ได้

อาร์เตต้ายังมอบความไว้วางใจให้กับ เอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์, เอนส์ลี่ย์ เมทแลนด์-ไนล์ส, และ รีส เนลสัน สามคนนี้ลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่รวมกันกว่า 260 นัด ภายใต้การคุมทีมของอาร์เตต้า

ในช่วงต้นของยุคอาร์เตต้า สโมสรยังลงทุนในผู้เล่นอังกฤษอายุน้อยอย่าง เบน ไวท์ และ อารอน แรมส์เดล พร้อมมอบบทบาทสำคัญให้ ร็อบ โฮลดิ้ง และ คาลัม แชมเบอร์ส

ในทางกลับกัน ที่แมนฯ ยูไนเต็ด อาโมริมกลับมีปัญหากับ มาร์คัส แรชฟอร์ด และไม่สามารถหาตำแหน่งประจำให้กับ ค็อบบี้ เมนู ดาวรุ่งอีกคนได้ ยิ่งไปกว่านั้น ยูไนเต็ดเพิ่งปล่อยตัว อเลฆานโดร การ์นาโช่ ไปเชลซี หลังจากความสัมพันธ์กับโค้ชพังทลาย

แน่นอนว่าทั้งอาร์เตต้าและอาโมริมมีจุดร่วมกันคือ ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมของสโมสรมากกว่าตัวบุคคล และเข้มงวดในเรื่องพฤติกรรม แต่ความแตกต่างใหญ่คือ อาร์เตต้าตัดสินใจแยกทางกับนักเตะต่างชาติรายใหญ่ที่มีรายได้สูง เช่น เมซุต โอซิล และ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง

ส่วนอาโมริมกลับมีปัญหากับ หรือไม่ก็กันออกจากทีม ซึ่งเป็น นักเตะลูกหม้อที่แฟนบอลรัก ทั้งหมดนี้หมายความว่า หากเจ้าของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดมองว่า “สิ่งที่อาร์เตต้าทำที่อาร์เซน่อล” คือพิมพ์เขียวให้รูเบน อาโมริมเดินตาม

พวกเขาก็คงจะ เข้าใจผิดอย่างสิ้นเชิงเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในลอนดอนเหนือ หรือไม่ก็จำเป็นต้อง ผลักดันให้อาโมริมเปลี่ยนแนวทางของตัวเองแบบสุดขั้ว



ดูบอลสดฟรี


Post By: admin