จาก 36 สโมสรที่เริ่มต้นฤดูกาล ตอนนี้เหลือเพียง 4 ทีมเท่านั้น
หลังจากรอบก่อนรองชนะเลิศที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด ตอนนี้เป็น อินเตอร์ มิลาน พบกับ บาร์เซโลนา และ อาร์เซนอล พบกับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ที่จะลงสนามดวลกันในสองคู่บล็อกบัสเตอร์ของรอบรองชนะเลิศ
แม้ว่าทั้งสี่ทีมที่เหลืออยู่จะยังคงเป็นตัวแทนของสโมสรยักษ์ใหญ่ในยุโรป แต่ปีนี้ก็มาพร้อมกับเรื่องราวใหม่ที่น่าตื่นเต้นอย่างแน่นอน อาร์เซนอลและเปแอสเชกำลังไล่ล่าความสำเร็จในการคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร ขณะที่บาร์เซโลนาและอินเตอร์ก็ไม่ได้สัมผัสถ้วยแชมป์มาเป็นเวลานานกว่าทศวรรษ ในช่วงเวลาที่เรอัล มาดริด และสโมสรยักษ์ใหญ่จากอังกฤษครองความยิ่งใหญ่มาโดยตลอด ตอนนี้บทใหม่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
จากการประเมินของซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของ Opta ในเวลานี้ อาร์เซนอลมีโอกาสคว้าแชมป์มากที่สุดที่ 28.7% อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างระหว่างทั้งสี่ทีมนั้นถือว่าบางเฉียบ และคุณสามารถให้เหตุผลสนับสนุนได้ว่าทุกทีมมีศักยภาพเพียงพอที่จะคว้าแชมป์ไปครอง
แล้วแต่ละคู่จะมีจุดพลิกเกมอยู่ที่ไหนบ้าง? ให้ The Athletic พาคุณไปเจาะลึกกลยุทธ์ของแต่ละทีม พร้อมข้อมูลน่าสนใจเล็กๆ น้อยๆ เพื่อเพิ่มอรรถรสก่อนศึกใหญ่นัดกลางสัปดาห์นี้
อาร์เซนอล
ลืมพรีเมียร์ลีกไปได้เลย เพราะอาร์เซนอลกำลังลุยอย่างดุดันในเวทียุโรป
ทีมของมิเกล อาร์เตตา ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมสมกับชัยชนะเหนือเรอัล มาดริด แชมป์เก่า หลังทะลุเข้าสู่รอบรองชนะเลิศเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2009 โดยพวกเขาได้แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายในเกมรุกและเกมรับตลอดทั้งสองเลก
แม้ว่าในฤดูกาลหลังๆ อาร์เซนอลจะมีปัญหาเมื่อต้องเจอกับทีมที่ตั้งรับลึก แต่สไตล์การเล่นเกมรุกของพวกเขาก็อาจเหมาะกับแชมเปียนส์ลีกมากกว่า เพราะที่นี่พวกเขาต้องเจอกับทีมที่กล้าเปิดเกมแลกกันมากขึ้น
ด้วยพื้นที่ริมเส้นที่เปิดกว้างกว่า อาร์เตตาได้เน้นการโจมตีทางด้านข้างอย่างหนักหน่วงในการแข่งขันยุโรป ในบรรดาสี่ทีมที่เหลือ อาร์เซนอลมีสัดส่วนการสัมผัสบอลในพื้นที่กลางสนามเพียง 24% ซึ่งต่ำที่สุด
การกลับมาฟิตสมบูรณ์และฟอร์มที่ยอดเยี่ยมของบูกาโย ซากา สร้างความยินดีให้กับแฟนๆ อาร์เซนอลอย่างถ้วนหน้า โดยแข้งวัย 23 ปีมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ทีมเอาชนะมาดริดได้ เขาเรียกฟาวล์ได้สองครั้งซึ่งนำไปสู่ประตูจากฟรีคิกของดีแคลน ไรซ์ และการยิงชิพแบบเฉียบคมที่สนามเบร์นาเบวก็เป็นการปิดฉากผลงานที่น่าจดจำทั้งสองนัด
เกมที่สเปนมีรูปแบบแตกต่างจากเลกแรกที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ในช่วงเวลาส่วนใหญ่ อาร์เซนอลวางหมากแบบ 4-4-2 ยามไม่มีบอลที่เบร์นาเบว รักษาความแน่นหนาเพื่อบีบให้มาดริดเปิดเกมบุกทางริมเส้น และแทบไม่เปิดโอกาสให้เจาะเข้ากลางได้
อย่างไรก็ตาม ก็มีหลายช่วงเวลาที่รูปแบบเกมรับของพวกเขาถอยลึกยิ่งกว่าเดิม
อาร์เซนอลของอาร์เตตาแสดงให้เห็นถึงการจัดระเบียบเกมรับอย่างแข็งแกร่ง คุณสามารถเห็นได้ว่ามีจังหวะที่พวกเขากลายเป็นแนวรับห้าคน หกคน เจ็ดคน หรือแม้กระทั่งแปดคนตลอดเกมที่สอง ด้วยการที่ไรซ์หรือโธมัส ปาร์เตย์ ถอยลงมาประคองคู่เซ็นเตอร์แบ็ก หรือซากาและกาเบรียล มาร์ติเนลลี ถอยกลับไปช่วยฟูลแบ็กแต่ละฝั่ง
แม้ว่าจะไม่คาดหวังว่าอาร์เซนอลจะเล่นแบบนี้ตลอดทั้งสองเลกในรอบรองชนะเลิศกับเปแอสเช แต่ก็น่าจะมีบางช่วงที่พวกเขาต้องตั้งรับแน่นบริเวณกรอบเขตโทษแบบนี้อีก
เมื่อพิจารณาถึงการหมุนเวียนตัวผู้เล่นแนวรุกอย่างลื่นไหลของทีมเปแอสเช อาร์เซนอลจำเป็นต้องรักษาโครงสร้างเกมรับของตัวเองให้ดีในทั้งสองนัด โชคดีที่ลูกทีมของอาร์เตตาแข็งแกร่งในการเล่นเกมรับ โดยมีสถิติค่า "Expected Goals Against" หรือ xGA ต่อ 90 นาที ที่ 0.83 ซึ่งเป็นอันดับสองในบรรดาท็อปไฟว์ลีกยุโรปในฤดูกาลนี้
ยิ่งไปกว่านั้น อาร์เซนอลยังเคยเก็บคลีนชีตได้ในชัยชนะ 2-0 เหนือเปแอสเชช่วงรอบแบ่งกลุ่มเมื่อเดือนตุลาคม ดังนั้นพวกเขามีเหตุผลไม่น้อยที่จะมั่นใจอย่างเงียบๆ ว่าจะสร้างค่ำคืนที่น่าจดจำอีกครั้งในลอนดอนและปารีส
ปารีส แซงต์-แชร์กแมง (PSG)
การเข้าถึงรอบรองชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นปีที่สองติดต่อกันไม่ใช่เรื่องเล็กสำหรับเปแอสเช โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากบริบทที่หลุยส์ เอ็นริเกทำผลงานนี้ได้สำเร็จในฤดูกาลนี้
ทีมเปแอสเชที่ไม่มีคีเลียน เอ็มบัปเปนั้นดูมีความเป็นหนึ่งเดียว ประสานงาน และมีความลงตัวมากกว่าหลายปีที่ผ่านมาอย่างชัดเจน และเห็นได้ว่าทีมชุดนี้ใกล้เคียงกับอุดมคติของเอ็นริเกที่สุด ทั้งในเกมรุกและเกมรับ นับตั้งแต่เขาเข้ามาคุมทีมในกรุงปารีส
การมีสกอร์นำ 3-1 จากนัดแรกเหนือแอสตัน วิลล่า ควรทำให้เกมนัดสองที่วิลล่า พาร์กเป็นงานที่ง่ายขึ้น แต่ลูกทีมของอูไน เอเมรีกลับสร้างความหวาดเสียวให้กับเปแอสเชด้วยการบุกที่รวดเร็วและตรงกลางอย่างดุดัน
"วิลล่าไม่สามารถตีเสมอได้ แต่ช่วงประมาณ 10 นาที เราเริ่มสงสัยว่าพวกเราจะสามารถครองบอลได้ไหม หรือสามารถพาบอลขึ้นมาจากแดนกลางได้ไหม หรือแม้แต่จะโยนยาวก็ยาก" เอ็นริเกกล่าวหลังจบเกม "ผมคิดว่าทีมนี้ไม่เคยโดนกดดันจากทีมอื่นแบบนี้มาก่อน แต่ก็ต้องยอมรับว่าคู่แข่งต้องยอมเสี่ยง เพราะพวกเขากำลังจะตกรอบ พวกเขาโจมตีด้วยความเข้มข้นสูง แถมเล่นต่อหน้ากองเชียร์ที่ยอดเยี่ยมด้วย"
หลายทีมมักจะเสียสมาธิภายใต้บรรยากาศอันเร้าใจในค่ำคืนแชมเปียนส์ลีก แต่เปแอสเชยังคงยืนหยัดได้ ด้วยความช่วยเหลือจากจานลุยจิ ดอนนารุมมา นายประตูมือหนึ่ง และถือว่าคว้าชัยชนะสมควรในทั้งสองนัด
ถึงแม้เปแอสเชจะคว้าชัยชนะได้ แต่เอ็นริเกก็คงไม่พอใจกับผลงานเกมรับในนัดที่วิลล่า พาร์กนัก โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่าการเล่นเกมรับนอกการครอบครองบอลเป็นจุดเด่นของพวกเขาในฤดูกาลนี้ การไล่บีบสูงแบบประสานงานกันเป็นอย่างดีช่วยบีบให้คู่แข่งต้องเตะบอลยาวเมื่อเริ่มเกม และทำให้เปแอสเชสามารถแย่งบอลกลับมาเพื่อควบคุมจังหวะของเกมได้
อย่างไรก็ตาม มันคงไม่ยุติธรรมถ้าจะพูดถึงเปแอสเชในเชิงเกมรับโดยไม่กล่าวถึงคุณภาพทางเทคนิคอันยอดเยี่ยมในเกมรุก พวกเขาอาจเริ่มต้นแชมเปียนส์ลีกฤดูกาลนี้ได้ช้ากว่าที่หวังไว้ แต่ตอนนี้ชัดเจนว่าฟอร์มของพวกเขากำลังพีกในเวลาที่เหมาะสมที่สุด
หากคู่แข่งถอยตั้งรับ เปแอสเชก็มีนักเตะอย่างเจา เนเวส, วิตินญา และฟาเบียน รุยซ์ ที่สามารถต่อบอลสั้นและค่อยๆ เจาะแนวรับได้ โดยพวกเขาจะถอยออกนอกแนวรับของคู่แข่งเพื่อเริ่มต้นการขยับเกมบุกขึ้นไป
แต่ถ้าเข้าไปเจอกับเกมส์รับที่แน่นหนา เปแอสเชก็มีความสามารถเฉพาะตัวในการเอาชนะแนวรับของทีมระดับท็อปได้อย่างง่ายดาย ตัวอย่างเช่น เปแอสเชมีค่าเฉลี่ยการเลี้ยงบอล (take-ons) ต่อ 90 นาทีอยู่ที่ 27.9 ครั้ง ซึ่งมากที่สุดในแชมเปียนส์ลีกฤดูกาลนี้ ด้วยผู้เล่นแนวรุกที่ชำนาญการดวลตัวต่อตัวหลายคน
แม้จะไม่เห็นบ่อยนักในเกมที่วิลล่า พาร์ก แต่ผู้เล่นอย่างอุสมาน เดมเบเล, แบรดลีย์ บาร์โคล่า, เดซีเร่ ดูเอ้ และควิชา ควารัตสเคเลีย มักสลับตำแหน่งในแนวรุกอย่างลื่นไหลและปรากฏตัวตามพื้นที่ต่างๆ ของสนาม
ยิ่งเสริมด้วยพลังการเติมเกมของฟูลแบ็กอย่างนูโน เมนเดส และอัชราฟ ฮาคิมี ซึ่งทั้งคู่ยิงประตูได้ในนัดที่สองของรอบก่อนรองชนะเลิศ เปแอสเชจึงมีตัวเลือกมากมายในการถล่มแนวรับคู่แข่ง
ประตูของเมนเดสคือตัวอย่างที่ชัดเจนถึงอันตรายอันเฉียบคมของทีมเอ็นริเก การวิ่งเสริมเป็นคนที่สาม (third-man running) การเล่นบอลจังหวะเดียว และการใช้ความกว้างของสนามอย่างเต็มที่คือสูตรรุกที่ร้ายกาจ
กล่าวได้ว่า เปแอสเชยังไม่สมบูรณ์นักในเกมเจอกับอาร์เซนอลเมื่อเดือนตุลาคม แต่ทีมของเอ็นริเกได้เข้าสู่ฟอร์มสูงสุดในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ด้วยแชมป์ลีกเอิงที่การันตีแล้ว และโอกาสลุ้นทริปเปิลแชมป์ยังอยู่ในเส้นทาง โมเมนตัมตอนนี้จึงอยู่กับเปแอสเชในการไล่ล่าถ้วยแชมเปียนส์ลีกครั้งแรกของพวกเขา
บาร์เซโลนา
ความพ่ายแพ้ 1-3 ในนัดที่สองต่อโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์เป็นผลการแข่งขันที่ผิดปกติสำหรับบาร์เซโลนา
แม้สถิติไม่แพ้ใคร 24 นัดติดต่อกันจะสิ้นสุดลง แต่ด้วยการที่มีสกอร์นำขาดถึง 4 ลูกจากนัดแรก ทำให้ทีมของฮันซี่ ฟลิค ไม่จำเป็นต้องเร่งเครื่องเต็มที่ที่สนามเวสต์ฟาเล่น สตาดิโอน โดยเน้นการบริหารจัดการผลการแข่งขันมากกว่าการบุกหนัก
นอกจากสามประตูที่ดอร์ทมุนด์ยิงได้แล้ว พวกเขายังส่งบอลเข้าประตูบาร์เซโลนาได้อีกสองครั้งจากการวิ่งทะลุแนวรับลึกของปาสกาล กรอสส์และยูเลียน บรันด์ท แต่ทั้งสองประตูถูกยกเลิกเนื่องจากล้ำหน้า
เหตุการณ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นภาพรวมของฤดูกาลนี้ของบาร์เซโลนาภายใต้การคุมทีมของฟลิค ที่กล้าใช้แนวรับสูงมาก
ตัวเลขสถิติก็สนับสนุนเช่นนั้น บาร์เซโลนาดักคู่แข่งให้ล้ำหน้าได้ถึง 68 ครั้งในแชมเปียนส์ลีกฤดูกาลนี้ มากที่สุดเมื่อเทียบกับทุกทีมที่เข้ารอบน็อกเอาต์ โดยแอสตัน วิลลาอยู่ในอันดับสองที่ 34 ครั้ง — เท่ากับครึ่งหนึ่งของบาร์เซโลนาเลยทีเดียว ทั้งที่ลงเล่นจำนวนนัดเท่ากัน
บาร์เซโลนามีระยะความสูงเฉลี่ยของแนวรับที่ 33.7 เมตร ซึ่งสูงที่สุดในบรรดาทีมที่ผ่านเข้าสู่รอบน็อกเอาต์ แสดงให้เห็นถึงการทำงานอย่างมีแบบแผนเมื่อไม่ครองบอลที่ฟลิคพัฒนาขึ้นมาอย่างละเอียด
อย่างไรก็ตาม มีสัญญาณว่าแนวทางนี้ก็มีช่องโหว่เช่นกัน การที่โรนัลด์ อเราโฮ ลงมาเสริมแนวรับในเกมกับดอร์ทมุนด์ ทำให้แฟนบอลบาร์เซโลนาอาจต้องลุ้นกันทุกครั้งเมื่อเห็นการเล่นแนวรับสูงแบบกล้าหาญเช่นนี้
และแนวทางนี้จะยิ่งถูกทดสอบอย่างหนักเมื่อต้องเจอกับคู่หูเกมรุกของอินเตอร์อย่างเลาตาโร มาร์ติเนซและมาร์คุส ตูราม แม้ว่าทั้งคู่จะไม่ได้มีความเร็วจัดนัก แต่การประสานงานที่แนบเนียนก็เพียงพอที่จะสร้างปัญหาให้กับแนวรับทีมใดก็ได้ในยุโรป
แน่นอนว่าจุดแข็งของบาร์เซโลนายังคงมีมากกว่าจุดอ่อนภายใต้การคุมทีมของฟลิค ในขณะที่พวกเขามุ่งหน้าสู่การลุ้นทริปเปิลแชมป์ครั้งประวัติศาสตร์อีกครั้ง
ในเกมรุก ความหลากหลายที่พวกเขามีทำให้เหมาะสมกับฟุตบอลรอบน็อกเอาต์อย่างยิ่ง — มีความคล้ายคลึงกับทีมชาติสเปนของหลุยส์ เด ลา ฟวนเตที่คว้าแชมป์ยูโร 2024
ในด้านหนึ่ง ทีมของฟลิคเป็นหนึ่งในทีมที่เล่นบอลต่อเนื่องมากกว่า 9 ครั้งต่อหนึ่งเซ็ตบ่อยที่สุดในรายการนี้ โดยใช้คุณภาพทางเทคนิคของเปดรี, เฟรงกี้ เดอ ยอง และ (ก่อนหน้านี้ในรายการ) มาร์ค กาซาโด เพื่อควบคุมเกม
แต่อย่าเข้าใจผิดว่าบาร์เซโลนามีแต่การต่อบอลเพื่อครองเกม เพราะพวกเขายังมีอาวุธในจังหวะสวนกลับด้วยความเร็วของลามีน ยามาล และราฟินญา ที่สามารถลงโทษคู่แข่งในจังหวะเปลี่ยนเกมได้อย่างรุนแรง
ประตู 8 ลูกของพวกเขาในแชมเปียนส์ลีกฤดูกาลนี้มาจากการโจมตีแบบไดเรกซ์ซึ่งมากที่สุดในรายการ แม้ว่าจำนวนครั้งที่ใช้การโจมตีแบบนี้จะน้อยกว่าทีมอื่น ๆ เช่น เปแอสเชที่ใช้บ่อยกว่าถึงสองเท่า แต่เมื่อบาร์เซโลนาแย่งบอลได้ พวกเขาก็สามารถทะลวงแนวรับคู่แข่งได้ในพริบตา
ราฟินญาทำผลงานในฤดูกาลนี้ได้ดีที่สุดในเส้นทางอาชีพ โดยยิงได้ 12 ประตูในแชมเปียนส์ลีก และอีก 15 ประตูในลาลีกา — แต่ไม่มีใครโดดเด่นเท่าลามีน ยามาล
แม้จะมีการยกย่องยามาลไปมากแล้ว แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือความไม่สามารถคาดเดาได้ของเขาในช่วงเริ่มต้นอาชีพ เมื่อดูจากการเลี้ยงบอลนลาลีกาฤดูกาลนี้ จะเห็นได้ว่าเขาสามารถตัดเข้าในด้วยเท้าซ้ายที่ถนัด วิ่งอ้อมออกด้านนอก หรือพุ่งตรงไปข้างหน้าก็ได้ตามจังหวะ
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายอยู่ที่ว่ายามาลจะยังสามารถสร้างความสุขได้หรือไม่เมื่อเจอกับแนวรับห้าคนของอินเตอร์ เพราะทีมของซิโมเน อินซากีถือเป็นหนึ่งในทีมที่แข็งแกร่งที่สุดในยุโรปในการรับมือกับเกมริมเส้น โดยมักจะมีการซ้อนตัวช่วยกันระหว่างเซนเตอร์แบ็กกับมิดฟิลด์เพื่อกดดันปีกของคู่แข่ง
ด้วยพรสวรรค์มหาศาลของทั้งสองทีม อย่าลืมจับตาดูการต่อสู้ริมเส้นตลอดทั้งสองนัดนี้
อินเตอร์ มิลาน
แม้อินเตอร์อาจถูกมองว่าเป็นทีมรองบ่อน เป็นทีมที่ถูกมองว่ามีโอกาสคว้าแชมป์น้อยที่สุดในบรรดา 4 ทีม แต่ทีมอินเตอร์ มิลาน ชุดนี้เคยผ่านประสบการณ์เล่นในรอบชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนลีกมาแล้ว
แกนหลักของทีมนั้นยังคงอยู่ครบ โดยมีถึง 8 คนจาก 11 ตัวจริงในรอบชิงปี 2023 (ซึ่งพ่ายแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 0-1) ที่ยังคงค้าแข้งอยู่กับสโมสร ความต่อเนื่องนี้ทำให้ซิโมเน อินซากีสามารถหล่อหลอมให้ทีมกลายเป็นหนึ่งในทีมที่มีเอกลักษณ์ทางแท็กติกชัดเจนที่สุดในทัวร์นาเมนต์
ในขณะที่ทีมอื่น ๆ ที่เหลือมักถูกนิยามด้วยการเพรสซิ่งสูงและการเล่นเชิงรุก อินเตอร์เลือกที่จะใช้แนวทางที่สุขุมและควบคุมเกมมากกว่า จากสถิติ PPDA (จำนวนครั้งที่คู่แข่งผ่านบอลได้ต่อหนึ่งการเพรสซิ่ง) อินเตอร์เพรสซิ่งต่ำกว่าทุกทีมที่เข้ารอบ 16 ทีม ยกเว้นคลับ บรูช
แทนที่จะกดดันสูง อินเตอร์เลือกที่จะถอยตั้งรับลึกในระบบ 3-5-2 ที่มีระเบียบวินัยสูง และค่อย ๆ ต่อบอลขึ้นมาจากแนวหลัง ความเร็วในการขึ้นเกมของอินเตอร์ — ซึ่งวัดจากความเร็วในการพาบอลขึ้นหน้าสู่พื้นที่โจมตี — ช้ากว่าทุกทีมในแชมเปียนส์ลีกฤดูกาลนี้ ยกเว้นแมนเชสเตอร์ ซิตี้ของเป๊ป กวาร์ดิโอลา
แนวทางที่อดทนนี้ช่วยเสริมเกมรับเมื่อไม่ได้ครองบอล เหมือนทีมชาติอิตาลีแบบดั้งเดิม อินเตอร์เล่นเกมรับโดยไม่ต้องครองบอลได้อย่างสบาย ๆ — โดยเสียไปเพียง 5 ประตูเท่านั้นในรายการนี้ ซึ่งน้อยที่สุดในบรรดาทุกทีม อินซากีมักพูดถึงความพร้อมของทีมในการทำงานหนักเวลาไม่ได้ครองบอล เช่นก่อนเกมเลกสองกับบาเยิร์น มิวนิก เขากล่าวว่าทีมจะต้อง "อดทนต่อความกดดัน" ให้ได้
และสิ่งนั้นก็เกิดขึ้นจริง อินเตอร์ยอมเสียการครองบอลให้ทีมของแวงซ็องต์ กอมปานีในทั้งสองเกม แม้ว่าบางครั้งจะต้องพึ่งโชค แต่ด้วยการต่อเกมที่เป็นระบบ พวกเขาแทบไม่เสียรูปกระบวนเลยเวลาที่เสียบอล พวกเขาเสียแค่ 0.18 xG (expected goals) จากจังหวะโต้กลับเร็ว และมีค่า xG ต่อการยิงที่ต่ำที่สุดในทัวร์นาเมนต์นี้
อย่างไรก็ตาม ความมีระเบียบวินัยของอินเตอร์ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไร้จินตนาการ อินเตอร์เป็นหนึ่งในทีมที่มีการเคลื่อนที่ตำแหน่งอย่างลื่นไหลที่สุดในยุโรป โดยการหมุนเวียนตำแหน่งเป็นจุดเด่นในเกมรุก
แผนที่สัมผัสบอลของนิโคโล บาเรลลาในรายการนี้สะท้อนความลื่นไหลนี้ — แม้จะเป็นมิดฟิลด์ตัวกลางตามตำแหน่ง แต่เขามักปรากฏตัวทั้งทางริมเส้น โซนรับลึก และในพื้นที่สุดท้ายหลังสองกองหน้า อินซากีให้อิสระแก่ผู้เล่นในการสลับตำแหน่ง ทำให้อินเตอร์ยากต่อการคาดเดาและสามารถสร้างความได้เปรียบเชิงจำนวนในหลายพื้นที่ของสนาม
อีกหนึ่งจุดแข็งในระบบของอินซากีก็คือการสร้างคู่กองหน้าระหว่างเลาตาโร มาร์ติเนซ และมาร์คุส ตูราม การเล่นกองหน้าคู่เริ่มหายากในฟุตบอลยุคปัจจุบัน แต่สำหรับอินเตอร์ มันกลายเป็นจุดแข็งที่โดดเด่น
ก่อนเจออาร์เบ ไลป์ซิก อินซากีเคยพูดถึงความสำคัญของการ "รักษารูปทรง และรู้ว่าเมื่อไรควรจู่โจม" ตัวอย่างที่ชัดเจนคือประตูแรกที่พวกเขายิงใส่บาเยิร์น — ซึ่งการประสานงานอันยอดเยี่ยมของสองกองหน้าเป็นหัวใจสำคัญ
หลังจากการโต้กลับอย่างรวดเร็ว ตูรามใช้ส้นเท้าแตะบอลจากกลางเขตโทษส่งให้มาร์ติเนซที่วิ่งสอดมา ยิงด้วยข้างเท้านอกอย่างเหนือชั้น — เป็นหนึ่งในลูกยิงที่ถูกเสนอชื่อเป็นประตูยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนท์
ในการพบกับบาร์เซโลนา อินเตอร์ก็น่าจะต้องพึ่งพาโอกาสในการครองบอลแบบจำกัดอีกครั้ง แต่ด้วยวินัยเกมรับ ความยืดหยุ่นทางแท็กติก และความสามารถในการโจมตีอย่างเฉียบขาด พวกเขายังมีศักยภาพเต็มที่ที่จะสร้างปัญหาใหญ่ได้
เมื่อครั้งที่อินเตอร์เจอกับบาร์เซโลนาในปี 2022 อินซากีกล่าวว่า: "มันคือเกมที่ละเอียดอ่อนมาก และเราต้องแสดงเขี้ยวเล็บออกมา" เตรียมเห็นสิ่งนั้นอีกครั้งในรอบนี้
Post By: admin