ในการลงเล่นรอบก่อนรองชนะเลิศของแชมเปียนส์ลีกครั้งที่สองในอาชีพของเขา ไรซ์โชว์ฟอร์มคว้ารางวัลแมนออฟเดอะแมตช์ติดต่อกันทั้งสองนัด ช่วยให้อาร์เซน่อลทะลุเข้าสู่รอบรองชนะเลิศได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2009
หลายคนอาจชี้ไปที่สองลูกฟรีคิกสุดมหัศจรรย์ของไรซ์ในเกมแรกว่าเป็นจุดสำคัญที่ทำให้เขาได้รับคำชื่นชมส่วนตัว แต่ในความเป็นจริงแล้ว ฟอร์มโดยรวมของเขาในสองเกมนี้มีส่วนอย่างมากที่ทำให้อาร์เซน่อลประสบความสำเร็จ
"วันนี้เขามีบทบาทสำคัญในแบบที่ต่างออกไป ผมคิดว่าเขาสุดยอดมาก" มิเกล อาร์เตต้า กล่าวหลังเกมคืนวันพุธ
"ทั้งการปรากฏตัวของเขา พละกำลังที่แสดงออกมา ความนิ่งไม่ว่าจะมีบอลหรือไม่มีบอล ผมว่าหลายช่วงเวลาเขาคือผู้นำที่พลิกเกมให้เป็นของเรา และนั่นคือเหตุผลที่เราต้องการผู้เล่นระดับนี้เพื่อก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญ และเขาก็ทำได้จริงๆ"
ในแง่แท็กติก อาร์เตต้าแสดงความเฉียบแหลมด้วยการให้ไรซ์อยู่ในตำแหน่งที่สามารถเล่นงานมาดริดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในเกมแรก ไมลส์ ลูอิส-สเกลลี่ ที่สามารถถอยมาเล่นกลางคู่กับโธมัส ปาร์เตย์ ได้อย่างลงตัว ช่วยให้อาร์เซน่อลสามารถต่อบอลจากแดนหลังได้อย่างราบรื่น เนื่องจากระบบ 4-4-2 ของมาดริดค่อนข้างเฉื่อยช้า โดยเอ็มบัปเป้และวินิซิอุสแทบไม่ได้ช่วยป้องกันเกมบุกจากแดนกลางเลย
ซึ่งนั่นเปิดโอกาสให้ไรซ์ขยับขึ้นมาอยู่ในพื้นที่ด้านหลังมิดฟิลด์ของมาดริดได้อย่างชาญฉลาด ก่อนจะทะลุขึ้นไปเผชิญหน้ากับแนวรับของพวกเขาทันที
ไม่เพียงแค่ถ่างออกไปด้านข้างหรือถอยต่ำมารับบอลเท่านั้น ไรซ์ยังแสดงให้เห็นตั้งแต่ช่วงต้นเกมที่เอมิเรตส์ว่าเขาพร้อมแค่ไหนในการวิ่งทะลุแนวรับของมาดริดด้วยตัวเอง
อีกครั้งที่ลูอิส-สเกลลี่สามารถรับบอลได้โดยแทบไม่มีแรงกดดัน ขณะที่ไรซ์ยืนซุ่มอยู่ระหว่างแนวรับและแดนกลางของมาดริด คราวนี้เขาใช้พื้นที่ในแดนบนให้เกิดประโยชน์ด้วยการวิ่งตัดแนวทแยงหลังราอูล อเซนซิโอ ก่อนจะส่งบอลคืนให้มิเกล เมริโน่
แม้จังหวะนี้จะไม่ได้กลายเป็นโอกาสลุ้นประตู แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความกระหายของไรซ์ในการเติมเกมบุกและดึงแนวรับของมาดริดให้เสียตำแหน่ง ความตั้งใจในเกมรุกของไรซ์ในเลกแรกนั้นโดดเด่นจนไม่มีผู้เล่นคนใดของทั้งสองทีมที่มีโอกาสยิงประตูได้มากกว่าเขา โดยเขายิงไปทั้งหมด 5 ครั้ง
เช่นเดียวกันกับในเลกที่สองที่ซานติอาโก้ เบร์นาเบว เมื่ออาร์เซน่อลขึ้นเกมผ่านแต่ละแดน ไรซ์มักจะถ่างตัวเองออกไปอยู่นอกแนวรับของมาดริดเพื่อรับบอลในพื้นที่ว่าง ก่อนจะจ่ายบอลทะลุเข้าไปในแดนกลาง หรือมองหา กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ ทางฝั่งซ้าย
ความจริงแล้ว ค่ำคืนวันพุธแสดงให้เห็นอีกมุมหนึ่งของอาร์เซน่อลที่ต่างจากเลกแรก โดยพวกเขาเน้นตั้งรับลึกในกรอบเขตโทษ จนบ่อยครั้งกลายเป็นแนวรับ 5, 6 หรือบางครั้งถึง 7 คน เมื่อเรอัล มาดริดพยายามโยนบอลแบบไร้ทิศทางเข้าไปในพื้นที่แออัด
ไรซ์มักจะเป็นคนที่เก็บบอลจังหวะสองหรือดักตัดบอลได้อยู่เสมอ (ไม่มีผู้เล่นคนใดในสนามที่ตัดบอลได้มากกว่าเขา ซึ่งอยู่ที่ 5 ครั้ง) พร้อมกับการเล่นที่เน้นเข้าเร็วและกล้าเข้าปะทะ
โชคดีที่สิ่งนั้นไม่ได้นำไปสู่การเสียจุดโทษ หลังจากที่การเข้าบอลเบาๆ ใส่เอ็มบัปเป้ถูกตัดสินให้ไม่ฟาวล์อย่างถูกต้อง ส่งผลให้ใบเหลืองของเขาถูกยกเลิก ซึ่งเดิมทีอาจทำให้เขาพลาดลงเล่นในเลกแรกของรอบรองชนะเลิศกับเปแอสเช
ทัศนคติที่กล้าเล่นแบบนี้ปรากฏตั้งแต่นาทีแรก ๆ ที่มาดริด เมื่อไรซ์ดักตัดบอลก่อนจะเลี้ยงทะลุขึ้นมาตรงกลางสนาม คล้ายกับจังหวะที่เขาทำในเกมกับเบรนท์ฟอร์ดเมื่อสุดสัปดาห์ก่อน เพื่อดันเกมขึ้นหน้าและเปิดฉากการสวนกลับให้อาร์เซน่อล
เรอัล มาดริดดูไร้พิษสงในเกมรุกอยู่เป็นเวลานาน แต่เมื่อเกมเริ่มเปิดมากขึ้นในครึ่งหลัง ไรซ์ก็มักจะอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องในเวลาที่เหมาะสมเสมอ
ในจังหวะสวนกลับอันตรายซึ่งหาได้ยาก นำโดยเฟเดริโก้ วัลเวร์เด้ ไรซ์ตามวินิซิอุส จูเนียร์แบบไม่หยุด ก่อนจะดักตัดบอลที่กำลังจะไปถึงทั้งตัวบราซิลเลียนหรือเอ็มบัปเป้ได้อย่างหวุดหวิด
แม้เกมจะใกล้จบแล้ว และเหลือเวลาเพียง 3 นาทีในช่วงเวลาปกติ ไรซ์ยังคงมีแรงกลับลงมาช่วยแนวรับ โหม่งสกัดลูกเปิด (อีกลูกหนึ่ง) จากฟราน การ์เซีย ของมาดริดได้อีกครั้ง ด้วยเซนส์เกมรับที่สะท้อนถึงช่วงที่เขาเคยเล่นเป็นเซ็นเตอร์แบ็กในช่วงต้นอาชีพ มันแทบจะรู้สึกเหมือนลูกบอลถูกดูดเข้าหาไรซ์ เมื่อเขาหมุนตัวเคลียร์บอลให้พ้นอันตรายแบบเหนือชั้น
แม้บทบาทในเกมบุกของเขาจะถูกผลักไปทางฝั่งซ้ายคล้ายกับในเลกแรก แต่หากสังเกตจากแดชบอร์ดผู้เล่น จะเห็นว่าเขามีการเคลื่อนไหวเกมรับมากเป็นอันดับสองของผู้เล่นทั้งหมดในสนาม โดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นในหรือบริเวณหน้าเขตโทษของตัวเอง
ก่อนเกม หลายคนตั้งคำถามว่าไรซ์จะรับมือกับจู๊ด เบลลิงแฮม เพื่อนร่วมทีมชาติอังกฤษได้แค่ไหน ซึ่งข้อสงสัยเหล่านั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว นั่นแสดงให้เห็นถึงฟอร์มอันยอดเยี่ยมของไรซ์วัย 26 ปี
เพียงสามนาทีในเกมที่เบร์นาเบว เขาก็ส่งสัญญาณชัดเจนด้วยการเข้าปะทะอย่างแข็งแกร่ง เฉียบคม และรวดเร็วกว่าเพื่อนร่วมชาติของเขาในแดนกลาง เขาชนะการดวลในแดนกลางได้อย่างเด็ดขาด แถมยังมีจังหวะปะทะเล็ก ๆ กับเบลลิงแฮมในช่วงต้นครึ่งหลังอีกด้วย
แม้จะเป็นเพียงการจ้องหน้ากัน แต่ก็บ่งบอกถึงระดับของความหงุดหงิดที่ไรซ์สร้างให้กับเบลลิงแฮมและเพื่อนร่วมทีมได้เป็นอย่างดี
แน่นอนว่า ยังมีผู้เล่นอาร์เซน่อลหลายคนที่โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะบูกาโย่ ซาก้า และไมลส์ ลูอิส-สเกลลี่ ที่สมควรได้รับคำชมจากทั้งสองเลก แต่อย่างไรเสีย ก็ไม่มีใครสะท้อนความมุ่งมั่นและความแข็งแกร่งของอาร์เซน่อลได้มากไปกว่าเดแคลน ไรซ์ กับฟอร์มการเล่นแบบคลาสสิกเต็มสูบ ราวกับหลุดออกมาจากการ์ตูน Roy of the Rovers ที่จะยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำไปอีกนาน
ไรซ์มักจะถูกมองว่าเป็น “พลังม้าประจำทีม” แต่หากนิยามเขาไว้แค่นั้นก็อาจเป็นการมองข้ามความสามารถรอบด้านของเขาไป ในเวทีที่ใหญ่ที่สุดอย่างการเจอกับมาดริด เขาแสดงให้เห็นถึงทั้งมันสมองเชิงแท็กติกและทักษะเชิงเทคนิค ที่มาคู่กับความทุ่มเทอย่างเต็มที่ ซึ่งจะยิ่งผลักดันสถานะของเขาให้สูงขึ้นในเวทียุโรปต่อไป
Post By: admin